ตรวจสุขภาพประจำปี 2560
ทำไมต้องตรวจสุขภาพ ?
ปัญหาทางด้านสุขภาพอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา บางคนอาจไม่ได้เจ็บป่วยอะไรร้ายแรงก็ยังใช้ชีวิตในลักษณะเดิมโดยไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายจากภัยของโรคที่ยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งรู้ในภายหลังก็อาจช้าเกินไป เพราะบางโรคอาจไม่แสดงอาการผิดปกติในช่วงแรก หรืออยู่ในระยะที่โรคสงบ
การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะเป็นการช่วยหาต้นตอของโรคหรือความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรก ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้ถึงสภาพร่างกายขณะนั้นว่าเป็นปกติดีหรือไม่ และช่วยคัดกรองความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพและไม่ไปเร่งการพัฒนาโรคให้เกิดขึ้น ในรายที่มีความเสี่ยงต่อโรคสูงเป็นทุนเดิมก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคให้หายขาดได้มากขึ้นหากตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
การตรวจสุขภาพ
แต่ละบุคคลมีปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพที่แตกต่างกัน เมื่อเข้ารับตรวจสุขภาพทุกครั้ง แพทย์จะมีการตรวจร่างกายทั่วไปก่อนเสมอ โดยดูน้ำหนัก ความสูง ประเมินภาวะอ้วนและผอม (BMI) ตรวจดูระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบหัวใจ ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ตลอดจนการสอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้ารับการตรวจ ไม่ว่าจะเป็นอายุ ประวัติการป่วยของบุคคลในครอบครัว พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย อาหารการกิน ความวิตกกังวล หรือเรื่องอื่น ๆ เพื่อคัดกรองความผิดปกติและประเมินความเสี่ยงของโรคเบื้องต้น หากผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคบางโรคสูงอาจมีการตรวจเน้นพิเศษในบางเรื่อง และอาจทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มด้วยเช่นกัน จึงทำให้โปรแกรมการตรวจสุขภาพมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป ควรมีการตรวจสุขภาพเบื้องต้นดังนี้
ความดันโลหิต ผู้ใหญ่ที่มีค่าความดันโลหิตปกติ (120/80 มิลลิเมตรปรอท) ควรมีการตรวจความดันโลหิตทุก 3-5 ปี สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และผู้ที่วัดค่าความดันโลหิตค่าบน (Systolic) ได้ระหว่าง 120-139 มิลลิเมตรปรอท และความดันโลหิตค่าล่าง (Diastolic) ได้ระหว่าง 80-89 มิลลิเมตรปรอท ควรมีการตรวจวัดความดันปีละ 1 ครั้ง แต่หากวัดความดันโลหิตค่าบนได้มากว่า 140 มิลลิเมตรปรอทและความดันโลหิตค่าล่างได้มากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอทควรตรวจให้บ่อยขึ้นตามคำแนะนำแพทย์
ระดับคอเลสเตอรอล ควรเริ่มมีการตรวจระดับคอเลสเตอรอลตั้งแต่อายุ 20 ปี ไปจนถึงอายุ 45 ปี และมีการตรวจซ้ำในคนที่มีระดับคอเลสเตอรอลปกติทุก 5 ปี แต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต หรือมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการกินและเรื่องน้ำหนัก ควรเข้ารับการตรวจตั้งแต่อายุน้อย ๆ หรือตรวจเป็นระยะ
โรคเบาหวาน ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ควรเข้ารับการตรวจโรคเบาหวานอย่างน้อยทุก 3 ปี แต่สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีภาวะความดันโลหิตสูง (135/80 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป) มีภาวะอ้วน (วัดค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI ได้สูง) ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ควรมีการตรวจบ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
การตรวจทางด้านสายตา ควรมีการตรวจสายตาทุก 2 ปี หรือตรวจถี่มากขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์เมื่อพบปัญหาในการมองเห็น เช่น อาการผิดปกติทางสายตา มีความเสี่ยงโรคต้อหิน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีการตรวจสายตาทุกปี
การตรวจสุขภาพจำเป็นไหม ส่งผลเสียหรือไม่ ?
การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาความผิดปกติของร่างกายได้ตั้งแต่ในระยะแรก และยังช่วยให้ทราบถึงสภาพร่างกายในขณะนั้นว่าเป็นปกติดีหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเกิดโรคใด ๆ ในอนาคต แม้ว่าผลการตรวจจะออกมาเป็นปกติ เพราะการตรวจสุขภาพเป็นเพียงการคัดกรองโรคเบื้องต้นในช่วงเวลาที่ตรวจเท่านั้น แต่จะช่วยให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีการดูแลตนเองมากขึ้น ไม่ชะล่าใจปล่อยปะละเลยหรือเพิ่มความเสี่ยงอื่น ๆ ที่เอื้อต่อโรคให้ตนเอง
แต่ในบางกรณีการตรวจสุขภาพอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ผลการศึกษาจากการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยการเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก (PSA) ในผู้ชายที่มีสุขภาพดีพบว่า ผู้ที่มีค่าบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมากสูง ส่วนใหญ่จะมีการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อหามะเร็ง และ 1 ใน 5 คนของผู้ชายที่มีการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ภาวะเลือดออก หรือปัญหาในการขับถ่ายลำบากเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงบางโปรแกรมของการตรวจสุขภาพอาจไม่มีความจำเป็นเสมอไปสำหรับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เช่น การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดในคนที่ไม่มีความเสี่ยงของมะเร็งปอดด้วยการทำซีที สแกน (CT Scan) ซึ่งอาจมีโอกาสเกิดผลบวกลวงขึ้นได้ (ผลตรวจบ่งชี้ว่าเป็นโรค แต่อันที่จริงไม่เป็น) ทำให้ต้องมีการตรวจวินิจฉัยในขั้นต่อไป
การตรวจคัดกรองโรคอย่างมีประสิทธิภาพควรเป็นการตรวจเฉพาะโรคที่อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพในคนที่มีความเสี่ยงต่อโรคนั้นสูง มีการคำนึงถึงความน่าเชื่อถือของวิธีการวินิจฉัยและผลดี-ผลเสียของการรักษาแต่ละวิธี และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการตรวจสุขภาพ คือ การพิจารณาตามความเหมาะสม ช่วงอายุ หรือสถานการณ์ความเสี่ยงในแต่ละบุคคลเป็นพื้นฐาน